โดย : admin | เมื่อ : 2017-04-18 15:00 | เข้าชม : 2583
O ความคิดย่อมพ่ายแพ้แก่อำนาจของปัญญา
ปัญญาควบคุมความคิดได้ ความคิดย่อมพ่ายแพ้แก่อำนาจของปัญญา
ดังนั้น ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมความคิดมิให้ก่อให้เกิดความทุกข์ได้นั่นคือผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถพาใจหลีกพ้นความเศร้าหมองของกิเลสได้ผู้ไม่มีปัญญาหาทำได้ไม่
O ความทุกข์ทั้งหลาย หลีกไกลได้ด้วยปัญญา
ปัญญามีอำนาจเหนือความคิด ก็คือ ปัญญามีอำนาจเหนือกิเลสนั่นเองเพราะเมื่อปัญญาควบคุมความคิดได้ ความคิดก็จะไม่ปรุงแต่งไปกวนกิเลสที่มีอยู่เต็มโลกให้โลดแล่นเข้าประชิดติดใจ จึงเป็นการควบคุมกิเลสได้พร้อมกับการควบคุมความคิด
ความเกิดเป็นทุกข์ เพราะความเกิดนำมาซึ่งความแก่ ความเจ็บ ความตายความพลัดพรากจากของรักของชอบใจและความไม่ประจวบด้วยสิ่งปรารถนาทั้งปวง
ความทุกข์เหล่านี้หนีไม่พ้น เพราะเป็นผลตามมาของความเกิดอย่างแน่นอน
ความทุกข์ทางกาย...หนีพ้นได้ด้วยการไม่เกิดเท่านั้น
ส่วนความทุกข์ทางใจ...หนีได้ด้วยความคิด
ส่วนความทุกข์ทางใจ...หนีได้ด้วยความคิด
O อานุภาพแห่งแสงของปัญญา
สติต้องรู้ก่อนว่า กิเลส คือ โลภะ หรือ ราคะ โทสะ โมหะตัวใดกำลังเข้าประชิดจิตใจ เมื่อมีสติรู้...ก็ให้ใช้ “ปัญญาวุธ” คือใช้ปัญญาเป็นอาวุธ ด้วยความคิดง่ายๆ ว่า กิเลสเป็นความเศร้าหมอง
กิเลสไม่ว่าความโลภ ความโกรธ หรือความหลงจะนำความมืดมัวเศร้าหมองให้เกิดแก่จิตใจ ยังให้เป็นทุกข์เป็นร้อนไปร้อยแปดประการ
เมื่อปรารถนาความไม่เป็นทุกข์ ต้องไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลงต้องไม่โลภ ต้องไม่โกรธ ต้องไม่หลง ไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัวเสมอความไม่สบายใจไม่มีอะไรเลยที่มีค่าเสมอกับจิตใจ
สมบัติทั้งปวงที่จะเกิดแต่ความโลภก็มีค่าไม่คุ้มกับความเสียหายที่จะเกิดแก่จิตใจ จึงความรักษาใจไม่ให้เสียหายไม่ให้เศร้าหมอง ด้วยความบดบังของกิเลส
O ความคิดอันประกอบด้วยปัญญา
ความคิดอันประกอบด้วยปัญญา สามารถหยุดยั้งความโลภ ความโกรธ ความหลงมิให้เคลื่อนตัวเข้าห้อมล้อมจิตใจได้จริง ดังเช่นเมื่อจะเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจว่าไม่ได้รับความรักความสนใจจากคนนั้นคนนี้ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจะสิ้นสุดได้ถ้าจะคิดได้ด้วยปัญญา
ใจของทุกคนเปรียบดังบ้านของเขาบ้านของใครใครก็มีสิทธิที่จะต้อนรับใครอย่างใดก็ได้ ตรงไหนของบ้านก็ได้หรือแม้แต่จะไม่เปิดประตูรับให้เข้าบ้านก็ยังได้ ความสำคัญอยู่ที่ตัวเราต้องวางตัวให้เหมาะสมกับสถานที่ที่เจ้าของบ้านต้อนรับ
เขาให้ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ก็ยืนให้เรียบร้อยสงบอยู่อย่าให้เป็นเป้าสายตาผู้ผ่านไปมา อย่าให้เขารู้สึกว่าเราเป็นตัวตลก เต้นเร่าๆต่อว่าต่อขานการต้อนรับของเจ้าของบ้าน เรียกร้องจะเข้าบ้านเขาให้ได้
หรือถ้าเขารับเราที่ห้องรับแขก เราก็ต้องวางตัวให้สมกับที่เขาต้อนรับเราหรือถ้าเขาต้อนรับเราถึงห้องนอน เราก็ต้องปฏิบัติให้ควรแก่ความสนิทสนมหยิบจับช่วยเขาจัดห้องให้เรียบร้อยได้ก็ทำให้เกิดประโยชน์แก่เขาผู้ถือเราเป็นเพื่อนสนิท
ความคิดที่ต้องคิดก็คือ บ้านเขา...เขาจะรับเราตรงไหนเราก็ต้องรักษากิริยามารยาทอยู่ตรงนั้นให้งดงามเหมาะสมใจเขารับเราอย่างไรก็เช่นเดียวกัน เป็นสิทธิของเขา ถ้าคิดไปให้น้อยใจ เราก็ทุกข์เองหาสมควรไม่
O ความไกลกิเลสได้ พาให้ไกลทุกข์ได้
ชีวิตนี้ของทุกคนน้อยนัก น้อยจริงๆและวาระสุดท้ายจะมาถึงวินาทีใดวินาทีหนึ่งหารู้ไม่ จึงไม่ควรประมาทอย่างยิ่งคิดให้ไกลกิเลสให้ได้จริงๆ เถิด เพราะความไกลกิเลสเท่านั้นที่จะพาให้ไกลทุกข์ได้
ความคิดนั้นแก้กิเลสได้ ดับกิเลสได้ คือ ทำที่ร้อนให้เย็นได้ความสำคัญอยู่ที่ต้องคิดให้เป็น คิดให้ถูกเรื่อง ถูกจริตนิสัยของตนความสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ต้องมีความจริงจังที่จะดับความร้อนในใจตน
O เมตตา : เครื่องดับความร้อนของกิเลส
ความโกรธ เป็นความร้อนที่รู้สึกได้ง่าย เพราะเป็นความรู้สึกที่รุนแรงและเด่นชัดยิ่งกว่าความรู้สึกรักหลง
สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า เมตตาเป็นเครื่องดับความโกรธได้และเมตตาก็หาใช่การคิดหรือการพูดว่า “จงเป็นสุดเป็นสุขเถิด” เท่านั้นไม่
ผู้ปรารถนาจะเป็นผู้มีเมตตา เห็นใจในความทุกข์ของเพื่อร่วมทุกข์ทั้งปวงไม่ว่าเห็นหน้าใครก็จะเห็นความทุกข์ของเขาเสมอไปแม้เป็นเพียงคิดเอาเท่านั้นว่าคนนั้นคนนี้อาจจะกำลังมีทุกข์เช่นที่ตนเองเคยมี
อันการคิดถึงใจตนเมื่อยามทุกข์ร้อนนั้นเป็นวิธีที่จะทำให้เข้าใจซาบซึ้งในความทุกข์ของผู้อื่นได้ เราทุกข์เป็นอย่างไรคนอื่นทุกข์ก็เช่นเดียวกัน ปรารถนาจะได้รับความเมตตาเห็นใจช่วยคลายทุกข์ให้ด้วยกันทุกคน
บางคนโชคดี ได้พบด้วยตนเองว่า ผู้ที่ดูมีความสุขนั้นเมื่อหมดความอดกลั้นระบายความทุกข์ออกมาก็จะเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อว่ากิริยาท่าทีของเขาสามารถพรางความเร่าร้อนในหัวอกของเขาไว้ได้มิดชิดเหลือเกิน
จนเมื่อพบเห็นแล้วไม่ได้รู้สึกเลยว่าเขาเป็นผู้หนึ่งซึ่งกำลังมีความทุกข์นักหนาต้องการความเมตตาเห็นใจอย่างยิ่ง เพื่อนร่วมโลกของเราทั้งนั้นเป็นเช่นนี้อย่าคิดว่าคนอื่นมีความสุข ตนเองเท่านั้นที่มีความทุกข์ ความคิดเช่นนั้นผิดแน่นอนเมตตาก็ไม่เกิดจริงเมื่อมีความคิดเช่นนั้น จะเกิดก็แต่เพียงปากว่าเท่านั้นนั่นน่าเสียดายนัก
O ตั้งใจคิดให้เห็นถึงความทุกข์ของผู้อื่น
การเฝ้าแต่คิดว่า ทุกคนมีความทุกข์ ทั้งๆ ที่ ภายนอกของเขาดูเป็นสุขก็น่าสงสัยว่าจะมีเป็นการคิดในแง่ร้ายจนเกินไปหรือผู้ช่างคิดเช่นนี้จะมีเป็นคนหาความสุขใจไม่ได้หรือจะมีเต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งชีวิตจิตใจทุกเวลานาทีหรือที่จริงก็น่าสงสัยเช่นนี้เหมือนกัน
แต่ความจริงนั้นอยู่ที่ว่า ผู้ตั้งใจคิดให้เห็นความทุกข์ของผู้อื่นนั้นเป็นผู้มีเมตตาจิตเป็นพื้น มุ่งคิดเช่นนั้นเพื่ออบรมเมตตาให้ยิ่งขึ้นดังนั้นผลที่จะเกิดจากการเห็นความทุกข์ของผู้อื่น จึงจักไม่เป็นอื่นนอกจากเป็นความเมตตาที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับเท่านั้น
O ดับความโกรธ...ด้วยพลังแห่งความเมตตา
เมื่อใจกำลังจะร้อนด้วยความโกรธ เพราะการกระทำคำพูดของใครคนใดคนหนึ่งผู้มุ่งมั่นอบรมเมตตาให้เกิดในใจตน จะสามารถหยุดความโกรธได้อย่างไม่ยากจนเกินไปนักเพียงด้วยความมีสติรู้ว่า กำลังโกรธเขาแล้วเพราะเขาพูดเขาทำที่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง
เมื่อสติรู้อารมณ์ตนเช่นนั้น ผู้มั่นคงอยู่ในการอบรมเมตตาก็ดำเนินวิธีดับความโกรธต่อไป ด้วยการตำหนิหรือเยาะเย้ยตัวเองว่า นี่หรือคนมีธรรมะคนมีเมตตา เพียงเท่านี้ก็เมตตาไม่พอแล้ว เมตตาไม่พอ เมตตาไม่พอ เมตตาไม่พอความคิดเช่นนี้จะดับความโกรธได้จริง ในเวลาไม่เนิ่นช้า
O ทุกชีวิต ล้วนเป็นไปตามกรรม
คนไม่ได้เกิดมาเสมอกันทุกคนไป มีเกิดในตระกูลสูง เกิดในตระกูลต่ำเกิดในเครื่องแวดล้อมดี เกิดในเครื่องแวดล้อมไม่ดี ทั้งนี้ก็เพราะเป็นไปตามกรรมกรรมในอดีตชาติของผู้ใดดี ผู้นั้นก็ได้เกิดดีในภพชาตินี้การที่จะให้กิริยาวาจาใจของทุกคนเหมือนกันหมด...จึงเป็นไปไม่ได้
ต่างก็เป็นไปตามกรรมของตน ความคิดให้ถูกต้องจะทำให้คลายความขัดเคืองใจเมื่อได้พบ ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังกิริยาท่าทางหรือถ้อยคำน้ำเสียงที่ไม่สุภาพเรียบร้อย แต่รุนแรงหยาบคายคนเราเกิดมาไม่เสมอกันได้รับการอบรมมาแตกต่างกัน เป็นความบกพร่องของแต่ละคนแต่ละอดีตชาติ ที่ประมาทในการทำกรรมไม่ทำกรรมดี...จึงเลือกเกิดให้ดีในภพชาตินี้ไม่ได้
O ความโกรธ...เป็นโทษแก่จิตใจอย่างมหันต์
ทุกวันนี้มีเหตุร้ายเกิดขึ้นมากมาย ทำให้ผู้รับรู้มีความหวั่นไหวไปตามกันด้วยความสลดสังเวชสงสาร ก็ยังนับว่าไม่เป็นโทษแก่จิตใจมากมายนักแต่ด้วยความโกรธแค้นผู้ก่อกรรมทำเข็ญนั้นนับว่าเป็นโทษแก่จิตใจอย่างมาก...ไม่พึงปล่อยปละละเลยให้เกิดความรู้สึกดังกล่าวอีกต่อไป
ควรแก้ไขให้หยุดความรู้สึกโกรธแค้นในความโหดเหี้ยมใจดำอำมหิตของผู้ก่อกรรมร้ายแรงให้จงได้จะได้ไม่เป็นการรับเอาความเศร้าหมองของผู้ก่อกรรมร้ายมาเป็นความเศร้าหมองของตนด้วยซึ่งเป็นความไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
อกุศลจิตอกุศลกรรมของใคร ก็ให้เป็นผลเกิดแก่คนนั้นอย่าข้าไปร่วมรับมาเป็นผลของตน ต้องไม่ยอมปล่อยใจให้หวั่นไหวไปด้วยความขัดเคืองโดยมีความสงสารผู้รับเคราะห์กรรมร้ายเห็นเหตุ เพราะไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
O เหตุร้ายแรงอันเกิดจากกิเลสของมนุษย์
เหตุร้ายแรงอันเกิดจากกิเลสของมนุษย์นั้นควรนำมาเป็นครูผู้อบรมจิตใจได้อย่างดีที่สุดเพราะความโลภหรือความโกรธหรือความหลงแท้ๆที่คนสามารถทำร้ายถึงเข่นฆ่ากันได้อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต
ปราศจากเมตตาแม้แต่นิดในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นผู้อยู่ร่วมโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนนานาประการด้วยกันกิเลสแผลงฤทธิ์ให้เห็นอยู่ชัดๆ เป็นฤทธิ์ที่ร้ายแรงนักหนาจนสามารถทำให้กระทบกระเทือนถึงชีวิตจิตใจอย่างรุนแรง
O พึงหาประโยชน์จากความรุนแรงอันเกิดแต่กิเลส
ผู้คนจำนวนมากพลอยได้รับความกระเทือนจากิเลสร้ายแรงของผู้ปราศจากสิ้นซึ่งแสงสว่างของเมตตาเราเป็นคนนอกพึงถือเอาประโยชน์จากเหตุการณ์รุนแรงอันเกิดแต่กิเลสให้ได้ทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ร้าย
แม้เพียงด้วยการได้รู้ได้เห็น พึงมองให้เห็นความน่าสะพรึงกลัวของกิเลสพึงหนีไกลให้เต็มสติปัญญาความสามารถ มีความคิดเป็นเครื่องนำทาง คือนำให้รู้สึกชัดแจ้งว่า กิเลสนั้นมีห้อมล้อมจิตใจผู้ใดย่อมนำผู้นั้นให้คิดพูดทำที่ผิดร้ายได้ทุกอย่าง ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงขีดสุดถึงฆ่าได้กระทั่งผู้ปราศจากความผิดไร้เดียงสา แม้ว่ากีดขวางทางกิเลสอยู่
O แสงแห่งปัญญาที่แรงกล้า...ผลักดันกิเลสได้
การที่ใครคนใดคนหนึ่ง ยังอยู่ได้เป็นปกติสุขพอสมควร ไม่แผลงฤทธิ์ต่างๆ นานาก็เพราะกิเลสยังห่อหุ้มครอบคลุมจิตใจไม่หนักหนา ไม่ถึงกับทำให้ก่อกรรมทำบาปรุนแรง
แต่ถ้าประมาท ไม่พยายามหนีกิเลสที่แวดล้อมอยู่ให้ห่างไกลไว้เสมอพอเผลอกิเลสที่มีอยู่เต็มโลกทุกแห่งหน ก็จะเข้ารุมล้อมมากมายยิ่งขึ้น
เรื่องของกิเลสกับจิตนั้นเป็นเรื่องแลเห็นได้ยากมาก เพราะเป็นนามธรรมทั้งหมดต้องยอมเชื่อท่านผู้รู้ที่ปฏิบัติรู้แจ้งแล้วว่ามีกิเลสห้อมล้อมจิตใจอยู่จริงจังถ้ายังเป็นจิตใจของผู้ยังมิได้มีจิตใจของพระอรหันต์ ที่ไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิง
แต่มีความแตกต่างกัน ที่จิตบางดวงกิเลสห้อมล้อมเพียงบางเบาเพราะยังมีแสงแห่งปัญญาที่แรงกล้ากว่าแรงของกิเลส คอยขจัดปัดเป่าให้หนีไกลอยู่แต่จิตบางดวงกิเลสห้อมล้อมหนาแน่นยิ่งขึ้นทุกทีเพราะไม่มีแสงแห่งปัญญาที่แรงกล้าพอจะผลักดันกิเลสได้เลย
O ทางเกิดของปัญญา
ปัญญาหรือเหตุผลจะแสดงออกในรูปของความคิด คือ ต้องคิดให้ดีให้ถูกให้ชอบปัญญาจึงจะทำงานได้ ที่กล่าวว่าให้ใช้ปัญญาก็คือ ให้คิดให้มีเหตุผลนั่นเองความคิดเป็นความสำคัญ ไม่คิดให้ถูกให้ชอบก่อน ปัญญาก็ไม่ปรากฏขึ้นได้ คือไม่คิดให้ปัญญาฉายแสงขจัดความมืดก่อน ความเศร้าหมองก็จะสลายไปจากใจไม่ได้
ในทางตรงกันข้าม ไม่คิดให้ผิดให้ไม่ชอบก่อน ความรู้ไม่ถูกก็ไม่ปรากฏขึ้น คือไม่คิดให้มืดมน ความทุกข์ร้อนใจก็จะไม่เกิด ความคิดจึงสำคัญนักพึงระวังความคิดให้จงดี ให้เป็นความคิดที่เปิดทางให้แสงแห่งปัญญาฉายออกอย่าให้เป็นความคิดที่ปิดกั้นทางมิให้แสงแห่งปัญญาปรากฏได้
คนตกอยู่ในความมืด หรือคนตาบอด อยู่ในสภาพเช่นไร คนใจบอดก็เช่นเดียวกันจะไม่ก้าวเข้าไปสู่ความทุกข์ ความเดือดร้อนนั้นใจกายนั้น...ไม่มี
O ความคิด...เครื่องมือทำลายกิเลส
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งปัญญาสูงสุด คือเป็นศาสนาที่อบรมให้ไม่เป็นทาสของความมืดมิด คือ กิเลสเครื่องมือทำลายความมืดมิดมีอยู่ด้วยกันทุกคนแล้ว แต่ต้องลับให้คมให้กล้าให้มีกำลัง
เครื่องมือนั้น คือ “ความคิด” ที่ต้องอบรมให้เป็นความคิดที่ดี ที่ถูก ที่ชอบจึงจะปรากฏแสงแห่งปัญญาสว่างไสว ขับไล่กิเลสเหตุแห่งความมืดให้ห่างไกลได้ตั้งแต่ชั่วครั้งชั่วคราว จนถึงตลอดไป
ทุกคนมีความคิด ทุกคนคิดอยู่ตลอดเวลานอกจากหลับ หรือปฏิบัติธรรมถึงเข้าภวังค์คุมความคิดให้ดี อย่าให้ความคิดด้วยความโลภความโลภเกิดขึ้นได้ง่ายทุกเวลานาทีอยู่แล้ว
ความอยากได้นั่นได้นี่เป็นความโลภ และความอยากได้อะไรต่อมิอะไร เป็นต้นว่าอยากได้แก้วแหวนเงินทอง ความอยากนั้นก็มิได้เกิดเพราะแก้วแหวนเงินทองอันเป็นของที่ใครๆ ก็ต้องอยากได้ แต่ความอยากนั้นเกิดแต่ความคิดปรุงแต่งของแต่ละคนเองว่าสวย ว่างาม ว่ามีค่า มีราคาสามารถเพิ่มชื่อเสียงเกียรติยศให้ได้ ถ้าความคิดปรุงแต่งเช่นนั้นไม่เกิดขึ้นความอยากได้ก็จะไม่เกิดขึ้นด้วย
O สมบัติล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน
ผู้มุ่งความไกลจากทุกข์ พึงควบคุมความคิดให้ดีเมื่อต้องรู้เห็นเกี่ยวแก่แก้วแหวนเงินทองของสวยงามใดก็อย่าปล่อยใจให้คิดปรุงแต่งไปในความสวยงามมีราคา คุมความคิดไว้ให้ดีแม้จะคุมความคิดไม่ได้ ก็ให้คุมด้วยการท่องพุทโธ ธัมโม หรือสังโฆก็ได้
คิดถึงสรณะทั้งสามที่ประเสริฐสุดคิดให้ได้ให้ทันเวลาก่อนที่จะไปไขว่คว้าเอาของเหล่านั้นมาเป็นของตนซึ่งแม้จะเป็นการได้มาอย่างถูกต้องทุกประการแต่ก็จะเป็นการปล่อยความโลภให้เข้าครอบคลุมใจ...ได้ไม่เท่าเสียสมบัติล้ำค่าใดก็ไม่มีค่าเสมอใจที่บางเบาด้วยกิเลส โลภ โกรธ หลง
สมบัติทั้งหลายเป็นของสวยงามน่าใคร่น่าปรารถนาต่อเมื่อใจคิดปรุงแต่งให้เป็นเช่นนั้นสำหรับใจที่ไม่คิดปรุงแต่งให้เห็นเป็นของสวยงามน่าใคร่น่าปรารถนาสมบัติทั้งหลายก็หามีความหมายไม่ ก็จักเป็นเพียงวัตถุธรรมดาที่ผู้มีปัญญาสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น คือทั้งแก่ส่วนตนและแก่ส่วนรวม
O ความคิดปรุงแต่งเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู
ความคิดปรุงแต่งเป็นได้ทั้งศัตรูและมิตร คิดปรุงแต่งผิดก็จะเป็นศัตรูพาไปสู่ความเร่าร้อนด้วยอำนาจความปรารถนาต้องการ อันเป็นโลภะความโลภคิดปรุงแต่งถูกก็จะเป็นมิตร พาไปสู่ความสงบ ความมีปัญญา ด้วยอำนาจความรู้เท่าทันว่าสมบัติทั้งนั้นไม่ควรถือเป็นของน่าปรารถนาต้องการอันจักเป็นการเพิ่มความมืดมิดแห่งกิเลสกองโลภะ หรือราคะ ให้ยิ่งขึ้น
O ความคิดที่ไม่ดี เป็นเหตุไม่ดีด้วย
ความคิดสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคน ความคิดทำให้โลภ ความคิดทำให้โกรธความคิดทำให้หลง และทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นความไม่ดีอย่างยิ่งสิ่งที่ทำให้เกิดความไม่ดี หรือเหตุแห่งความไม่ดีจึงต้องเป็นความไม่ดีเป็นเหตุไม่ดีด้วย
วิธีแก้ไขที่จะให้ความคิดเป็นเหตุดี เป็นความดีก็มี คือต้องควบคุมระวังความคิดให้ดีให้ได้ โดยนำเหตุผลหรือปัญญามาเป็นกรอบบังคับไว้มิให้ออกไปนอกรอบ
O ความคิดที่อยู่ในกรอบของเหตุผลของปัญญา
ย่อมเป็นเหตุดียังให้เกิดผลดีได้จริง
ย่อมเป็นเหตุดียังให้เกิดผลดีได้จริง
เมื่อความคิดอยู่ในกรอบของเหตุผลของปัญญา ก็ย่อมเป็นเหตุดี ยังให้เกิดผลดี คือความคิดไม่ทำให้โลภ ความคิดไม่ทำให้โกรธ ความคิดไม่ทำให้หลงเป็นคุณเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ตนเอง และแก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งปวง